บทความนี้มีหลายตอนที่ผมจะพยายามเขียนร้อยเรียงเรื่องราวให้อ่านเข้าใจง่าย เข้าใจถึงสภาพเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่น ตามสายตาที่ผมเห็น ขอย้ำน่ะครับว่าเป็นตามที่ผมเห็น อาจจะคลาดเคลื่อนบ้างแต่ไม่น่าจะหลุดกรอบเยอะ อย่างน้อยก็เป็นในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อน ๆ ท่านใด ประสงค์จะติดตามบทความผมก็อย่าลังเล ให้ไปกดติดตามได้ทันที
การเดินทางแห่งความหวังทั้งสองฝ่าย
เบื้องต้นสมาคมเครื่องปั้นดินเผา ลำปางได้รับการติดต่อจาก กรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ด้วยความร่วมมือกับ Jetro (องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น) ในความประสงค์ความร่วมมือต่อกันระหว่างผู้ประกอบการเซรามิกลำปาง และผู้ประกอบการเซรามิกแห่งประเทศญี่ปุ่น โดยเนื้อหาแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการเชื่อมโยงทางธุรกิจระหว่างองค์กรเอกชนด้วยกัน โดยมี ASIAN TRADE PROMOTION FORUM ( ATPF ) เป็นผู้ให้ทุนสนุบสนุนบางส่วน จึงเกิดโครงการนี้ขึ้น มีผู้ประกอบการเซรามิกจากจังหวัดลำปางจำนวน 15 ราย เดินทางเข้าร่วมโครงการนี้ และมีคณะเจ้าหน้าที่จากกรมการค้าระหว่างประเทศเป็นตัวแทนภาครัฐในการร่วมเดินทางครั้งนี้ด้วย
ในประเทศญี่ปุ่นมีการผลิตเซรามิกอยู่หลายเมืองด้วยกัน โดยแต่ละเมืองจะมีชนิดของการผลิตเซรามิกที่แตกต่างกันไป โดยภาพรวม ๆ ผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ประเภทเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อดินพอร์ชเลน ประเภทฮาร์ดพอร์ชเลนคือเผาที่อุณหภูมิ 1,300 องศาเซลเซียส ทั้งการเขียนลาย การติดรูปลอก หรือการผลิตที่เป็นงานลักษณะศิลปะ ( Traditional Ceramic ) และเนื้อดินโบนไชน่า ทั้งนี้ส่วนใหญ่ของโรงงานตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่นทั้งเมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ จังหวัดซากะ
สภาพของธุรกิจเซรามิกของประเทศญี่ปุ่น นับวันจะมีความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่สูงมากขึ้น ค่าเชื้อเพลิงในการผลิตของโรงงานประมาณ 3 เท่าของประเทศไทย ค่าแรงงานต่อวันอยู่ที่ 6,000-7,000 เยน ( 1,900 - 2,500 บาทต่อวัน) ทั้งสองรายการนี้เป็นต้นทุนหลักของโรงงาน แต่เนื่องจากมีการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ผลิตในโรงงานมาก จึงทำให้ผลิตผลได้จำนวนมากเมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น โรงงานที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปดู มีพนักงานอยู่ 50 คน มีกำลังผลิตได้วันละ 10,000 ชิ้น (เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารประเภทพอร์ชเลน) ที่มีคนน้อยเพราะในโรงงานมีเครื่องจักรอัตโนมัติอยู่หลายชนิด การเคลื่อนที่ของสินค้าก็ใช้ระบบลำเลียงทั้งหมด จึงทำให้เกิดผลผลิตมาก โรงงานที่มีปริมาณการผลิตมากขนาดนี้ยังไม่มีการทำวัตถุดิบใช้เอง จะใช้ผู้ผลิตวัตถุดิบป้อนวัตถุดิบให้โรงงาน เป็นการลดการบริหารจัดการในส่วนการผลิตวัตถุดิบไปได้มาก
สำหรับโรงงานขนาดเล็กในประเทศญี่ปุ่นจะว่าไปก็ไม่เล็กแบบบ้านเรา โรงงานขนาดเล็กจะมีการซื้อผลิตภัณฑ์มาทำงานอีกทางหนึ่ง เช่น ซื้อสินค้าประเภทบิสกิตแวร์มาชุบเคลือบและเผา หรือตกแต่งลวดลายลงไป แล้วนำไปเผา เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าจากวัสดุกึ่งสำเร็จรูปที่โรงงานจัดซื้อเข้ามา ทั้งน้ำเคลือบ ด้วย โรงงานแบบนี้ไม่ใหญ่มาก เพราะการจัดเก็บพิมพ์ก็ไม่มี ทุกอย่างซื้อมาประกอบหมด ทำงานเหมือนเป็นคลัสเตอร์อย่างแท้จริง คือในหนึ่งโรงงานไม่ทำทุกอย่างเอง แต่จะทำเฉพาะในส่วนที่ตนเองถนัดเท่านั้น ตรงนี้แตกต่างจากอุตสาหกรรมเซรามิกของไทยมาก ที่ทำทุกอย่างด้วยตนเอง บางครั้งดูเหมือนต้นทุนจะถูกแต่การบริหารจัดการยากลำบากและมีต้นทุนการบริหารจัดการที่แพงมากกว่า
>> ขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เนต
หน้าที่เข้าชม | 315,847 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 208,186 ครั้ง |
เปิดร้าน | 27 ส.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |