สำหรับตัวผมนั้นอยู่ในวงการเซรามิคของบ้านเรามานานพอสมควร เคยทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ เคยไปทำงานที่ต่างประเทศ รวมทั้งเคยสร้างระบบต่างๆเพื่อการพัฒนาคุณภาพในหลายๆบริษัท เป็นที่ปรึกษาของโรงงานขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เป็นผู้ตรวจติดตามระบบคุณภาพ ISO ของ CB ต่างประเทศ และมีอีกงานหนึ่งที่ทำให้กระตุ้นให้ผมได้เขียนบทความนี้ขึ้นมา นั่นคือรับเป็นผู้ตรวจสินค้าก่อนส่งขึ้นตู้ของบริษัท Sourcing ต่างประเทศรายใหญ่รายหนึ่งของโลก ซึ่งไม่เลือกซื้อสินค้าเฉพาะเมืองไทย แต่ตระเวนไปทั่วโลกเพื่อให้ได้สินค้าที่ถูกใจ ทั้งในด้านการออกแบบ , คุณภาพ ,ราคา และการใช้งาน โดยทีมของเขาจะแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแก้ว ผลิตภัณฑ์เซรามิคสำหรับการตกแต่ง ผลิตภัณฑ์เซรามิคประเภทเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร รวมทั้งวัสดุอื่นๆทั้งไม้ ไฟเบอร์ ผ้า เหล็ก อลูมิเนียม แม้กระทั่งพลาสติก มีหัวหน้าทีมคัดเลือกสินค้าคนหนึ่งเคยถามผมด้วยคำถามง่ายๆ ที่พวกเราคนในวงการเซรามิคบ้านเราก็มักจะตอบง่ายๆ โดยทันทีรวมทั้งตัวผมด้วย เขาถามว่าเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสินค้าเซรามิคของไทยจึงแพงกว่าเมืองจีน หรือแม้กระทั่งเวียดนามมากนัก ผมก็ตอบกลับไปในทันควันโดยไม่ต้องคิดเลย เพราะมันถูกฝังอยู่ในหัวผมอยู่แล้ว “ การที่เซรามิคเมืองไทยแพงกว่าจีนก็เพราะวัตถุดิบเมืองจีนถูกกว่าไทยนะสิ “ ฝรั่งนายนั้นพยักหน้านิดๆแล้วย้อนถามผมว่า “คุณแน่ใจหรือ ? วัตถุดิบที่ว่านี่คือดิน หิน หรือ.....” ด้วยความที่นายคนนี้อยู่ที่จีนมานาน นานจนเขาพูดจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่ว พูดได้ดีจนน่าประหลาดใจ ทำให้ผมหยุดคิดเล็กน้อย จริงสิวัตถุดิบที่นำมาทำเนื้อดินทั้งดินดำ ดินขาว ทราย เฟลดสปาร์ หินปูน หินผุ ในบ้านเราก็มีอยู่มากมาย ราคาก็ไม่ได้สูงกว่าวัตถุดิบที่จีนเลย ด้วยความกลัวเสียหน้าของคนไทยก็เลยตอบกลับไปอีกอย่างรวดเร็ว “ ก็วัตถุดิบพวกสี สารเคมี ฟริต สำหรับทำเคลือบนั้น จีนถูกกว่าเมืองไทยแน่นอน” ผมตอบอย่างมั่นใจและคิดว่านายนั่นต้องคล้อยตามเป็นแน่ คุณฝรั่งยิ้มแบบเย้ยๆในทีแล้วถามว่า “แต่ก็มีบริษัทนำเข้าวัตถุดิบจากจีนเข้ามาเยอะไม่ใช่หรือ แล้วความแตกต่างของราคาเมื่อเทียบกับ%สัดส่วนของสีเคลือบบนผลิตภัณฑ์มันจะต่างกันสักกี่% แต่นี่ราคาขายของพวกคุณมันต่างจากจีนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เชียวนะ” ด้วยงานในพักหลังๆผมใช้วัตถุดิบจากจีนมาเยอะพอสมควร ซื้อมาจากบริษัทที่นำเข้าวัตถุดิบบ้าง ซื้อโดยตรงจากผู้ผลิตที่จีนบ้าง ราคาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่แน่นอนว่าต่างจากวัตถุดิบของอิตาลี สเปน อังกฤษ หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่นอยู่พอสมควร ก็อย่างที่นายคนนี้พูด ด้วยความแตกต่างของราคาที่จีน กับที่นำเข้ามาถึงเมืองไทยไม่แตกต่างกันนัก และยิ่งเมื่อนำไปใช้ในสีเคลือบซึ่งใช้ใน%ที่ไม่สูงมาก เมื่อคำนวณมาเป็นต้นทุนด้วยแล้วก็แทบไม่แตกต่างกันจนทำให้เราจะใช้มาเป็นข้ออ้างในการสร้างราคาสินค้าที่สูงกว่าจีนมาก สมองตอนนั้นเริ่มจะสั่งการด้วยคำตอบสุดท้าย และเชื่อว่าผู้ประกอบการบ้านเราเกือบร้อย% ก็คงตอบเหมือนผม แต่ก่อนที่คำตอบสุดท้ายจะถูกยิงออกไป ผมก็โดนดักคอมาก่อน โดยเขาพูดว่าเรื่องพลังงานคงไม่ใช่ประเด็นนะ แน่นอนผมคงไม่ตอบเรื่องพลังงานแน่ ผมเคยทำงานอยู่ที่ปักกิ่ง เคยเห็นโรงงานในแถบฝัวซาน แถบกวางเจา ปักกิ่งหน้าหนาวนั้นหนาวจนทำงานไม่ได้ ต้องมีพลังงานความร้อนให้ความอบอุ่นทั้งคน ทั้งน้ำดิน ทั้งสีเคลือบ ไม่งั้นจะพลอยแข็งกันหมด เมื่อปีที่แล้วไปเยี่ยมโรงงานที่ฝัวซาน เห็นการหยุดโรงงานทั้งวันเนื่องจากกระแสไฟฟ้ามีไม่เพียงพอจำเป็นจะต้องผลัดกันหยุดโรงงานในแต่ละพื้นที่เพื่อให้ได้มีกระแสไฟฟ้าใช้กันได้อย่างทั่วถึง ผู้ที่อยู่ในโรงงานเซรามิคย่อมเข้าใจดีว่าการหยุดโรงงานไม่ใช้เรื่องสนุกหรือง่ายๆ โดยเฉพาะโรงงานต้องผลิตอย่างต่อเนื่อง ใช้เตาเผาทั้งเตาอุโมงค์ (Tunnel kiln) และเตาโรลเลอร์ (Roller kiln) ดังนั้นต้นทุนเรื่องพลังงานเราไม่สมควรเป็นรอง ยิ่งในปัจจุบันเรายังมีแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจากอ่าวพม่าส่งเข้ามาทางจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งต้นทุนค่าเชื้อเพลิงนั้นเราสามารถแข่งขันกับจีนได้ทีเดียว คำตอบสุดท้ายของผมคือเรื่องค่าแรง ผมตอบด้วยความเคยชินและคิดว่าเป็นไม้ตายที่จะตอบ ไม่ว่าตอบให้ฝรั่งคนนี้หรือคนไหนๆที่จะมาถามพวกเราผู้ประกอบการไทย หรือแม้กระทั่งตอบตัวเองเพื่อปลอบใจยามที่รู้ว่าฝรั่งเหล่านั้นได้หนีจากเราไป ไปยังที่ๆราคาสินค้าถูกกว่า บริษัท Sourcing รายนี้มีสาขาอยู่ที่เมืองจีนในหลายมณฑล มีการจ้างงาน ออเดอร์สินค้าทั้งเครื่องแก้ว เซรามิค และวัสดุอื่นๆเฉพาะจากประเทศจีนเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรู้รายละเอียดของ Supplier รายต่างๆของจีน สำหรับในเมืองไทยก็เช่นกัน ฝรั่งคนนี้ยืนยันได้ว่า ค่าแรงคนจีนไม่ได้ต่ำกว่าค่าแรงคนไทยเลย ในปี พ.ศ นี้ ค่าแรงในแถบกวางเจา เซี่ยงไฮ้ จะสูงกว่าค่าแรงบ้านเราด้วยซ้ำ ถึงแม้ในแถบชนบทค่าแรงอาจจะยังถูกอยู่ แต่เราต้องไม่ลืมด้วยว่าค่าแรงก็ไม่ใช่ต้นทุนอันดับแรกๆของโครงสร้างต้นทุนเสมอไป ผมได้วิเคราะห์เรื่องนี้อยู่หลายวัน จากการงานในปัจจุบันที่ต้องพบเห็นระบบงานทั้งโรงงานขนาดใหญ่จนไปถึงเล็ก ทั้งกระเบื้องเซรามิค กระถางเทอร์ราคอตตา ของตกแต่ง ถ้วยชาม กระเบื้องหลังคา สุขภัณฑ์ แก้วคริสตัล วัสดุทนไฟ ผมจึงพอที่จะเห็นปัญหาและอยากจะมาแชร์ให้ผู้ผลิตเซรามิคไทยได้ลองเปิดใจรับฟัง ประการแรกที่เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนคือประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน จะเห็นได้ว่าคนงานจีนมีความขยันขันแข็ง สู้งานกว่าคนไทยนัก ผมเคยเห็นรง.ผลิตกระเบื้องที่มีพนักงานยืนเก็บกระเบื้องอยู่ท้ายเตา โดยไม่ต้องมีเครื่องจักรอัตโนมัติเหมือนอย่างโรงงานในบ้านเรา นั่นหมายความว่าจำนวนเงินลงทุนก็จะลดลงด้วยเพราะไม่ต้องไปลงทุนยกเครื่องมาแบบ Turn key แบบที่โรงงานใหญ่ๆของเราชอบทำ ถ้าจะเปรียบเล่นๆให้เห็นภาพก็น่าจะประมาณได้ว่าต้องใช้คนงานไทยสัก 3 คนจึงจะทำงานได้ผลผลิตเท่ากับคนจีน 1 คน ประการถัดมานั้น การที่ผู้ผลิตชาวไทยไม่มีระบบการคิดต้นทุนมาตรฐานที่ถูกต้องและแม่นยำ ทำให้เราเสียโอกาสในการขายไปมากพอสมควร โดยทั่วไปแล้ว บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมในเมืองไทยให้ความสำคัญกับเรื่องต้นทุน (Standard cost) น้อยมาก ขอเพียงมีเงินสดหมุนเวียน คำนวณคร่าวๆจากรายรับและรายจ่ายแล้วพบว่ายังพอมีกำไร ก็ถือว่าดำเนินธุรกิจได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงการรู้ต้นทุนมาตรฐานและค่าความแตกต่างของต้นทุนที่แท้จริงที่ทำได้ จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าเรื่องใดเป็นจุดอ่อน และเรื่องใดเราสามารถลดต้นทุนได้ นอกจากนี้เมื่อเรารู้ต้นทุนที่แน่นอนจะทำให้เราตั้งราคาขายได้อย่างสมเหตุสมผล (reasonable price) ซึ่งเราอาจขายได้ในราคาที่ต่ำลง ถึงแม้กำไรต่อหน่วยอาจลดลงบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าสูญเสียออเดอร์และลูกค้าไปเลย ความมุ่งมั่นของคนในชาติก็เป็นอีกประเด็นที่ควรจะพูดถึง เนื่องจากประวัติศาสตร์ชาติไทยแต่โบราณเราไม่เคยต้องเดือดร้อนกับภาวะสงครามเหมือนอย่างจีน, ญี่ปุ่น, เวียดนาม เรามีคำติดปากเราเสมอคือ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ซึ่งหมายถึงดินแดนเรามีความสุขสบายอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นคนในชาติจึงไม่มีความคิดที่จะต้องดิ้นรน และขวนขวายแบบคนจีนที่ประสบความลำบากยากเข็ญมาก่อน รวมทั้งนิสัยใจคอของคนไทย ที่เราเป็นชาติรักสงบ การพูดจากันก็จะเป็นแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย แม้ในความสัมพันธ์แบบหัวหน้ากับลูกน้อง หลายๆครั้งที่ผมเห็นหัวหน้าที่ไม่กล้าดุลูกน้องหรือแม้แต่ไปทำงานแทนเพียงเพราะเกรงใจหรือไม่กล้าสั่งงานลูกน้อง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่น่าแปลก และอาจพบเห็นได้ทีเดียวในโลกก็เป็นได้ ความรวดเร็วในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็ยังถือได้ว่าช้ากว่าจีนมาก หลายครั้งที่เราคิดค้นหรือพัฒนาขึ้นมาก่อน แต่สุดท้ายก็ถูกจีนตัดหน้าในการผลิตไป เมื่อเดือน ก.พ.นี้เอง บริษัทจัดหาสินค้าสัญชาติยุโรปได้แจ้งให้ผมทราบว่า เขาได้ขอยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าของโรงงานผลิตเซรามิคในเมืองไทยแห่งหนึ่ง สาเหตุมาจากการผิดนัดในการส่งมอบ โดยเลื่อนการส่งมาหลายครั้งแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ส่งอีเมล์มาแจ้งขอเลื่อน ทางบริษัทนี้ก็เลยตอบกลับไปว่าไม่ต้องการสินค้าแล้ว และแจ้งกับผมว่าจะขอย้ายการผลิตสินค้าดังกล่าวไปผลิตที่ประเทศเวียดนามแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับคนไทยด้วยกันที่ทราบข่าว ฝรั่งนายนี้บอกว่าราคาที่สูงกว่าของโรงงานในไทยเขายังพอรับได้ แต่การผิดนัดการส่งมอบนั้นเป็นเรื่องที่ซีเรียสมากสำหรับบริษัทเขา เพราะสินค้าต่างๆนั้นเขาจะต้องมีการวางแผนการขายไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าจะขายในช่วงใด จะโปรโมทเมื่อใด เมื่อการส่งมอบผิดพลาดและคลาดเคลื่อนไป ก็จะทำให้เขาผิดแผนไปด้วย และความเชื่อถือต่อตัวบริษัทผู้ผลิตรายนั้นๆก็จะหมดไป นอกจากนี้การร่วมมือกันของคนในอุตสาหกรรมเซรามิคของจีนดูเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและน่ายกย่องมาก ครั้งหนึ่งผมได้ติดต่อขอสีโทนใหม่จากพนักงานสาวจีน เธอบอกว่าสีโทนนี้บริษัทเธอไม่ได้ผลิต แต่จะลองถามบริษัทอื่นดูให้ว่ามีหรือไม่ ผมลองนึกตามว่าถ้าเป็นบริษัทสีในบ้านเราจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ไหม ในโรงงานเซรามิคก็เช่นกัน พวกเขาสามารถพูดคุย เข้าไปดูเครื่องจักรของแต่ละโรงงานได้อย่างไม่ปิดบังกัน แต่สำหรับในบ้านเราแล้ว ในโรงงานแต่ละโรงงานเปรียบเหมือนเขตหวงห้ามพิเศษที่เต็มไปด้วยความลับ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะหวงความลับอะไรกันนัก เหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนสุดท้ายเราก็จะอ่อนแอจนไม่สามารถสู้กับคู่แข่งขันจากชาติอื่นได้ ข้อสังเกตเหล่านี้เป็นข้อที่เราแก้ไขได้ทั้งสิ้น หลังจากนั้นเราจะได้ไปวิเคราะห์จุดอ่อนของจีนดูบ้าง เพื่อนำมาสร้างเป็นจุดแข็งของเราในการพัฒนาศักยภาพของบริษัทของไทย จุดอ่อนที่ชัดเจนของจีนคือการทำงานเขายังไม่มีระบบที่ดีนัก ยังมีความสูญเสียเกิดขึ้นมากมายในการทำงาน หากเราสามารถปรับลดต้นทุนการผลิต, จัดทำระบบต้นทุนที่ชัดเจน ตรวจสอบได้, สร้างพนักงานที่มีคุณภาพ, พัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็ว และสร้างระบบการบริหารงานที่ดีไม่ว่าจะเป็น Total Quality Management ,Total Productivity Management การนำ Six sigma เข้ามาใช้ รวมทั้งการใช้เครื่องมือในการบริหารการผลิตและการตลาดอีกมากมาย และผู้ผลิตต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มากกว่านี้ และควรเปลี่ยนวิธีคิดกันเสียใหม่ว่าคู่แข่งของเราไม่ใช่บริษัทในประเทศด้วยกัน แต่เป็นบริษัทภายนอกที่จะเข้ามากินส่วนแบ่งการขายของเราไป ก็จะช่วยให้เราสามารถต่อสู้กับจีนและเวียดนามได้อย่างไม่ยากเย็น ในฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งขอเอาใจช่วยผู้ผลิตเซรามิคทุกท่านให้สามารถฟันฝ่าวิกฤตในช่วงนี้เพื่อความเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ขอบคุณบทความดีๆ จากคุณ MR. Cer-con : thaiceramicsociety
>> ขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เนต
|
|